1.ด้านการปกครอง
ชาวโรมันได้พัฒนาระบอบการปกครองของตนขึ้นเป็นระบอบสาธารณรัฐและจักรวรรดิ
จุดเด่นของการปกครองแบบดรมัน คือ การที่พลเมืองมีส่วนร่วมในการบริหารส่วนกลาง
และปกครองโดยใช้หลักกฎหมาย
1.1การปกครองส่วนกลาง
พลเมืองโรมันแต่ละชนชั้น
ต่างเลือกผู้แทนของตนเข้าไปบริหารประเทศรวม 3 สภา คือ สภาซีเนต
ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มชนชั้นสูง สภากองร้อย
ตัวแทนของทหาร สภาราษฎร
ตัวแทนของสามัญชน เผ่าต่างๆ รวม 35 เผ่า
แต่ละสภามีหน้าที่แตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วสภาซีเนตมีอำนาจสูงสุด
เพราะควบคุมด้านการปกครอง บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ กำหนดนโยบายต่างประเทศ
1.2กฎหมายโรมัน
ในระยะแรกกฎหมายได้ได้เขียนเป็นลายลักษณ์
การบังคับใช้จึงต้องเป็นไปตามวินิจฉัยของผู้พิพากษาซึ่งเป็น ชนชั้นสูง
ต่อมาพวกสามัญชนได้เรียกร้องให้ทำกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษรขึ้น แกะสลักบนแผ่นไม้รวม
12 แผ่น เรียกว่า กฎหมาย 12 โต๊ะ ความโดดเด่นคือ ทันสมัย มีการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับโครงสร้างการปกครองแบบจักรวรรดิ
กฎหมายโรมันเป็นมรดกที่สำคัญ
เพราะเป็นพื้นฐานของกฎหมายของประเทศต่างๆในยุโรป และข้อบังคับของคริสต์ศาสนา
2.ด้านเศรษฐกิจ
ส่วนใหญ่ผลิตทางด้านการเกษตร
อุตสาหกรรม และค้าขายในจักรวรรดิและนอกจักรวรรดิ
6
3.ด้านเกษตรกรรม
ส่วนใหญ่เพาะปลูกพืชและข้าวเป็นหลัก
ต่อมาเมื่ออาณาจักรขยายดินแดนออกไป การปลูกพืชในแหลมอิตาลีก็เริ่มลดลง
เนื่องจากรัฐส่งเสริมให้ปลูกข้าวในเขตอื่นๆ โดยวิธีการปฏิรูปดิน
ดินแดนที่ปลูกข้าวส่วนใหญ่ คือ แคว้นกอล ในฝรั่งเศสปัจจุบัน ส่วนในแหลมอิตาลีจึงปลูกองุ่นแทน
เลี้ยงสัตว์
สีแดงที่เห็นนั้นคือ แคว้นกอล
4.ด้านการค้าและอุตสาหกรรม
การข่นส่งส่วนใหญ่ติดต่อค้าขายสะดวก
เพราะ มีถนนเชื่อมทั่วอาณาจักร สถานที่การค้าสำคัญได้แก่ ทวีปเอเชีย อินเดีย
สินค้านำเข้า เครื่องเทศ ผ้าฝ้าย สินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ
อุตสาหกรรมส่วยใหญ่อยู่ใน อิตาลี สเปน
แคว้นกอล ประเภทสินค้า คือ เครื่องปั้นดินเผา สิ่งทอ
5.ด้านสังคม
สังคมในจักรวรรดิ
มี ภาษา การศึกษา วรรณกรรม การก่อสร้าง สถาปัตยกรรมต่างๆ วิทยาการ วิธีดำรงชีวิต
6.ภาษา
ภาษาที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นภาษาละติน
ซึ่งมาจากกรีก ที่อีทรัสคันนำมาใช้ มีพยังชนะ 23 ตัว
และยังเป็นภาษาแม่แบบในยุโรปอีกด้วย
7
7.การศึกษา
โรงเรียนในจักรวรรดิจะมีในระดับประถมและมัธยม
โดยชายและหญิงที่มี อายุ 7 ปีขึ้นไป เข้าเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าเรียน ส่วนมัธยมเริ่มเมื่ออายุ
13 ปี วิชาที่ชาวโรมันจะต้องเรียน คือ ภาษาละติน เลขคณิต ดนตรี
หากต้องการเรียนเฉพาะด้านต้องไปตามเมืองที่เปิดสอน
8.ด้านวรรณกรรม
งานประพันธ์ของโรมันมีวัตถุประสงค์แตกต่างต่างจากกรีก
กรีกจะมีสีสันและจินตนาการ
แต่ของโรมันจะประพันธ์โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะรับใช้จักรวรรดิของตน
จะสดุดีความยิ่งใหญ่ของชาวโนมัน เช่น 1.งานเขียนของเวอร์จิล (Virgil 70-19 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
เรื่อง อีนีอิค มหากาพย์ว่าด้วยความเป็นมาของโรม 2.งานประพันธ์ร้อยแก้วของซิเซโร (Cicero 106-43 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ข้อเขียนทางการเมือง จริยธรรมในรูปแบบของสุนทรพจน์และจดหมาย งานประพันธ์ของเขายังใช้โวหารที่พิเศษ คือ
ใช้โวหารเสียดสีประชดประชัน
นอกจากนี้ยังมีงานประวัติศาสตร์เน้นความยิ่งใหญ่ของโรมเช่น งานเขียนเรื่อง บันทึกสงครามกอล
ของจูเลียส ซีซาร์ (100-44ปีก่อนคริสต์ศักราช)
งานเขียนเกี่ยวกับอารยชน เรื่อง ชนเผ่าเยอรมัน ของแทกซิตัส
9.สถาปัตยกรรม
ชาวโรมันไม่นิยมสร้างวิหารถวายเทพเจ้าอย่างกรีก
โรมันจะสร้างอาคารต่างๆ เพื่อสนองความต้องการของรัฐ และประโยชน์ใช้สอยของสาธารณชน
เช่น โรงมหรสพขนาดใหญ่ จุผู้ชมได้ถึง 67,000 คน สร้างสถานที่อาบน้ำสาธารณะ
ดรมันยังได้คิดวิธีการเทคนิคการออกแบบประตูแบบโค้ง เปลี่ยนหลังคาเป็นแบบจั่วโดม
10.ประติมากรรม
ประติมากรรมของดรมันจะสะท้อนบุคลิกภาพของมนุษย์อย่างสมจริง
โรมันพัฒนาด้านการแกะสลักรูปเหมือนของบุคคลต่างๆ เช่น จักรพรรดิ นักการเมือง
โดยเฉพาะท่อนครึ่งบนได้อย่างสมบูรณ์
อีกทั้งยังสะท้อนบุคลิกภาพของบุคคลที่เป็นแบบอย่างสมจริงที่สุด
ชาวดรมันยังมีความเชื่อ ที่ว่า
เมื่อแกะสลักรูปให้เหมือนจริงจะช่วยให้วิญญาณของคนที่ตายไว้แล้วไว้ได้ โรมันยังพัฒนาภาพนูนต่ำ เพื่อบันทึกเรื่องราว
สดุดีวีรกรรมนักรบ
8
11.วิศวกรรม
โรมันสามารถสร้างถนนคอนกรีตที่มีความแข็งแรงทนทานได้
สองข้างถนนยังมีท่อระบายน้ำ มีหลักบอกระยะทาง
นอกจากนี้ยังสร้างท่อส่งน้ำหลายแห่งเพื่อเอาน้ำจากภูเขา
เข้าสู่เมือง
ท่อส่งน้ำ
12.ปฏิทิน
ชาวโรมันใช้ปฏิทินจันทรคติ ปีหนึ่งมี 10
เดือน ภายหลังเพิ่มเป็น 12 เดือน แต่ก้คลาดเคลื่อนไปตามฤดู จนในสมัยจูเลียส ซีซาร์
ให้ใช้ปฏิทินแบบสุริยคติ ปีหนึ่งมี 12 เดือน ปีละ 365 วัน และเพิ่มวันในเดือนกุมภา
ทุกๆ 4 ปี ให้มี 366 วัน ปฏิทินนี้ใช้มานานถึง 1600 ปี
จึงมีการปรับปรุงปฏิทินกอเรียนใน ปี ค.ศ. 1582
ขอบคุณข้อมูลจาก
www.wiki.com
หนังสือประวัติศาสตร์ ม.ปลาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น