วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Ku Klux Klan (KKK): องค์กรเหยียดสีผิว

Ku Klux Klan (KKK) เป็นองค์กรลับในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในรัฐทางตอนใต้แล้วขยายไปทั่วประเทศ เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นกลุ่มที่สนับสนุนคนผิวขาว และมีพฤติกรรมเป็นผู้ก่อการร้ายที่ซ่อนตัวภายใต้หมวกรูปกรวย หน้ากากและชุดคลุมสีขาว KKK ถูกบันทึกไว้ว่ามีส่วนในการก่อการร้าย, ความรุนแรงและการใช้ศาลเตี้ยในการตัดสินประหารชีวิต เพื่อข่มขู่, สังหารและบังคับกดขี่ชาวอเมริกัน-อัฟริกัน, ยิวและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ นอกจากนี้ยังทำการต่อต้านคัดค้านพวกโรมันคาธอลิกและสหภาพแรงงานด้วย (Roman Catholics and Labor Unions)
กลุ่ม KKK มีจุดเริ่มต้นในปี 1865 หลังจากสงครามฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ในอเมริกา ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายเหนือ ทำให้ทาสคนผิวดำได้รับการปลดปล่อยและเกิดการยอมรับในสิทธิ์ประชาชนของคนผิวดำว่าเท่าเทียมกับคนผิวขาว ส่วนหนึ่งของอดีตกองทหารฝ่ายใต้ซึ่งไม่พอใจต่อเหตุการณดังกล่าวได้รวมตัวกันขึ้นเพื่อสร้างสังคมที่ให้สิทธิ์พิเศษแก่คนผิวขาวขึ้นมาอีกครั้งที่เมืองพัลลาสกีในเทนเนสซีในวันที่ 24 ธันวาคม ซึ่งนี่ก็คือจุดเริ่มต้นขององค์การคนผิวขาว KKK หรือ คูคลั๊กซ์คลัน นี่เอง
…ไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าที่มาของชื่อดังกล่าวคืออะไร บางเอกสารบอกว่ามาจากเสียงที่เกิดเมื่อบรรจุกระสุนลงในไรเฟิลรุ่นเก่า หากที่มีชื่อเสียงที่สุดนั้นกล่าวว่ามาจาก κυκλος (kuklos) ในภาษากรีกซึ่งหมายถึง “วงกลม” หรือ “พวกพ้อง” และ clan ในภาษาเกลซึ่งหมายถึง “ชนเผ่า”
ปี 1867 หลังงานชุมนุมซึ่งจัดในฤดูร้อนที่แนชวิล จำนวนสมาชิกของ KKK ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งที่นี่เองที่ KKK ถูกสร้างเป็นองค์กรอย่างเป็นทางการ มีการแต่งตั้งตำแหน่งกลุ่มนักรบแคลน มีศักดิ์เป็นลำดับคือ แกรนด์วิซาร์ด, แกรนด์ดรากอน, แกรนด์ไทแทนส์และแกรนด์ไซคลอปส์ โดยนาธาน เบดฟอร์ด ฟอร์เรสต์ อดีตนายพลฝ่ายใต้ เป็นแกนด์วิซาร์ดคนแรก
KKK ในช่วงแรกยังไม่มีการก่อความรุนแรงอะไรมากมาย เป้าหมายของพวกเขาเป็นเพียงการแสดงอำนาจให้คนผิวดำเห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายเหนือกว่าเสียมากกว่า คนผิวดำซึ่งเพิ่งได้รับอิสรภาพมาหมาดๆ ในยุคนั้นยังด้อยความรู้และมีความงมงายอยู่มาก การข่มขู่ให้พวกเขาหวาดกลัวจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่สมาชิกของกลุ่มใส่ชุดขาวมีหมวกคลุมศีรษะซึ่งเปิดให้เห็นแต่ตากับปากแล้วถือคบเพลิงเดินขบวนไปตามถนนในตอนกลางคืน เท่านี้เหล่าคนผิวดำก็พากันผวานึกว่าเป็นผีและไม่กล้าออกจากบ้านไปในยามค่ำคืนแล้ว
หากในไม่ช้าการเคลื่อนไหวของ KKK ก็ค่อยๆ เพิ่มความรุนแรง โหดเหี้ยมขึ้น มีการรุมทำร้าย เผาบ้านและปล้นคนผิวสี ข่มขืนสตรี พวกเขาใส่ชุดขาวเดินสำรวจไปทั่วเมือง เมื่อพบคนผิวดำออกมาเดินนอกบ้านนอกเวลาที่พวกเขากำหนดก็จะลากมาเฆี่ยน ทั้งยังทำร้ายคนผิวดำที่ใช้สิทธิ์ของตัวเองหรือแม้แต่คนผิวขาวด้วยกันที่แสดงการสนับสนุนคนผิวดำ ซึ่งในบางครั้งการทำร้ายนี้รุนแรงไปจนกลายเป็นการแขวนคอก็มี
อำนาจของ KKK ถึงจุดสุดยอดในช่วงระหว่างปี 1865-1870 มีกองกำลังอันเกรียงไกร สามารถกำราบคนดำในเขตนอร์ทแคโรไลน่า เทนเนสซีและจอร์เจีย ทำให้รัฐบาลพยายามประนีประนอมกับผู้นำกลุ่มฝั่งใต้ด้วยการแก้กฏหมาย เป็นอีกครั้งที่สิทธิ์ในการปกครองถูกแย่งไปจากมือคนผิวดำ แต่ก็ทำให้ความจำเป็นของ KKK หมดไป
ในปี 1871 รัฐบาลประกาศให้ KKK เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายนอกกฏหมายซึ่งมีอันตรายต่อระบอบการปกครองและทำการกวาดล้าง ทำให้ KKK ต้องแยกตัวไป หากเป็นเพียงการแยกตัวชั่วคราวเท่านั้น
แม้เวลาผ่านไปนานแล้ว แต่สังคมอเมริกายังเหยียดสีผิวไม่เลิก มีหลายรัฐที่มีกฎหมายต่อต้านคนผิวดำ พวกเขาเป็นพลเมืองชั้นต่ำ ไม่มีประโยชน์ต่อประเทศ ชาวผิวดำถูกจำกัดที่อยู่ จำกัดการศึกษา รถเมล์ก็ขึ้นไม่ได้ พอถึงปลายศตวรรษที่ 19 …ความกลัวของชนชั้นผิวขาวเริ่มปรากฏ เมื่อมีการอพยพชนผิวสีจากทั่วโลกหลายล้านคนมาในอเมริกา เช่น จีน ญี่ปุ่น จาไมก้า แอฟริกา ทำให้ชนผิวขาวเริ่มวิตกว่า พวกเขาจะตกงานและตกต่ำกว่าที่เป็นอยู่
ในปี 1915 – KKK จึงกลับมาอีกครั้ง
บาทหลวงของศาสนาคริสต์ลัทธิเมโซดิสต์ วิล ซิมอนส์ (20) อ้างว่าได้ยินเสียงพระเจ้าในความฝันให้ฟื้นฟู KKK ขึ้นอีกครั้ง ซิมอนส์ซึ่งเดิมมีแนวคิดนิยมคนผิวขาวอยู่แล้วจึงรวบรวมคน 34 คนและประกาศการก่อตั้ง KKK ขึ้นใหม่ KKK ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นใหม่นี้ ในความจริงแล้วมีแนวทางที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากเดิมที่เคยหยุดอยู่แค่ “การสั่งสอน” พวกซิมอนส์ยึดหลักแบ่งชนชาติอย่างรุนแรงและมีเจตนารมณ์จะขจัดคนเชื้อชาติอื่นออกไปจากอเมริกาให้หมด
ในขณะนั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่งจะจบไป สังคมกำลังอยู่ในสภาวะไม่แน่นอน คนที่ไม่มีที่พึ่งมากมายเข้ามาเอา KKK เป็นที่ยึดเหนี่ยวทำให้จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะการเข้ามาของคนดังในสังคมที่เข้าร่วมกิจการประชาสัมพันธ์และการหาทุนเข้าองค์กร …KKK รุ่นที่ 2 ได้รับการตอบรับดีจากคนผิวขาวอย่างมาก การเป็น KKK ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวชาวอเมริกัน นักธุรกิจและผู้นำเริ่มเปิดเผยว่าอยู่ในองค์กรนี้ เช่น ฮูโก แอลแบล็ก และมีนักกฎหมายระดับสูงที่ประกาศตนว่าเป็น KKK
ปี 1922 เฉพาะที่เท็กซัสก็มีคดีทำร้ายร่างกายกว่า 100 คดีที่เกี่ยวข้องกับ KKK
ปี 1923 เกิดคดีรุมทำร้ายที่โอกราโฮม่ากว่า 2,300 คดี …KKK จะส่งจดหมายขู่และ “ไล่ที่” ไปยังบ้านของคนผิวดำและคนผิวขาวซึ่งสนับสนุนคนผิวดำ เมื่อไม่ได้รับการปฏิบัติตามก็จะทำการเข้ารุมทำร้าย ในบรรดาวิธีการรุมทำร้าย (Lynch) เหล่านี้ วิธีที่มีชื่อเสียงได้แก่ “Tar & Feather” ซึ่งเป็นการเอาผู้เคราะห์ร้ายมาราดน้ำมันดินจนท่วมแล้วจับคลุกขนนกให้ติดทั่วตัว ก่อนจะแห่ไปตามถนน มีการเผาบ้านกันเป็นกิจวัตร บางครั้งรุนแรงถึงกับใช้น้ำกรดเพื่อประทับสัญลักษณ์ของพวกตนลงบนร่างของผู้เคราะห์ร้าย บ้างก็ตัดแขนขา บ้างก็เอายางรถยนต์ห้อยคอผู้เคราะห์ร้ายแล้วจุดไฟ บ้างก็จับมัดไปวางให้รถไฟทับ บ้างก็จับแขวนคอ
สิงหาคม 1925 พวก KKK เดินขบวนกว่า 40,000 คน พวกเขาโบกธงชาติอเมริกันและธงทหารฝ่ายใต้ แสดงถึงการคลั่งเผ่าพันธุ์ …แน่นอนว่าสังคมก็ไม่ได้อยู่เฉย มีการประท้วงความรุนแรงซึ่งทางกลุ่มก่อขึ้น โดยสื่อมวลชนและองค์กรต่างๆ ประกอบกับการแก่งแย่งกันเองภายในกลุ่ม ทำให้ซิมอนส์ถูกขับออกจากตำแหน่งผู้นำในปี 1923 เนื่องจากมีข่าวฉาวโฉ่เรื่องข่มขืนและสังหารเด็กวัยรุ่น และคดียักยอกเงินกว่าหนึ่งล้านดอลล่าร์สหรัฐ และแล้ว KKK ก็สูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนในที่สุดการก่อตั้ง FBI ทำให้ KKK อ่อนแอลงเรื่อยๆ หากองค์กรนี้ก็ไม่หมดลมหายใจไปง่ายๆ
ในรัฐอลาบาม่า จอร์เจีย มิสซิสซิปปี้และอีกหลายรัฐ ยังมีคดีทำร้ายคนผิวดำเกิดขึ้นเป็นระยะและยังคงมีการเคลื่อนไหวขอกลุ่มอยู่ เป็นต้นว่า วันที่ 18 สิงหาคม ปี 1940 พวก KKK เริ่มสมคบกับนาซีใหม่ในอเมริกาและเดินขบวนร่วมกัน พวกแคลนร้องเพลงนาซีอย่างสนุกสนาน และในปีเดียวกันนั้นเอง อเมริกาเข้าสู่สงครามโลก พวก KKK ถูกมองว่าเป็นพวกไม่รักชาติ ไม่ใช่องค์กรเพื่อชนชาวอเมริกันอีกต่อไป ผู้นำแคลนถึงกับล้มละลายในปี 1944 เพราะไม่มีเงินจ่ายภาษีจำนวน 17 ล้านบาท
ปี 1954 ศาลสูงได้ยกเลิกกฎร้อยปีของชาวใต้ที่ว่า คนดำไม่มีสิทธิเรียนโรงเรียนของคนผิวขาวในปี 1957 เกิดภาพประวัติศาสตร์ นักเรียนผิวดำ 3 คน เดินเข้าโรงเรียนลิตเติลร็อก รัฐอาร์คันซอส์ รัฐบาลส่งกำลังทหารหลายพันนายมาอารักขา ขณะที่ฝูงชนผิวขาวและพวก KKK ที่ยังเหลือรอดมองด้วยความเคียดแค้น …ผลคือ เกิดคดีลักพาตัว วางระเบิด เผาโบสถ์และโรงเรียนผิวดำ จนถึงการฆาตกรรมในเวลาต่อมา
ปี 1961 กลุ่ม KKK รุ่นที่ 3 ถือกำเนิด ภายใต้การสนับสนุนประธานแคลนแห่งอเมริกา โรเบิร์ต เซลตัน ซึ่งเป็นนักการเมืองผู้ว่าแห่งรัฐมิสซิปปี้ …ปีต่อมา คือ ปี 1962 เกิดการจลาจลโดยคนผิวขาว รัฐต้องส่งคนไปปราบ พวกแคลนตาย 2 ถูกจับกุมอีก 200 คน
ถัดมาในปี 1963 การฆาตกรรมคนผิวดำกลับมาฮิตอีกครั้ง มีหลายคดีมีการล้มมวยคนดู เพราะคณะลูกขุนผิวขาว ยิ่งทำให้พวกคูแคลนอุอาจย่ามใจไม่กลัวผิด
ปี 1964 ประธานธิปดีจอห์นสันออกพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิพลเรือน มีการจัดกลุ่มคุ้มครองสิทธิพลเรือนโดยอาสาสมัครคนหนุ่มสาวทั่วประเทศ เพื่อชักชวนให้คนอื่นเห็นความเป็นมนุษย์ของคนผิวดำ และปีเดียวกันนั้นเองที่รัฐมิสซิสซิปปี้ เกิดคดีผู้ใช้แรงงาน 3 คนถูก KKK รุมทำร้าย คนผิวขาว 19 คนถูกจับในฐานะผู้ต้องสงสัย หากก็ถูกปล่อยตัวไปเนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอ …3 ปีให้หลัง 18 คนถูกนำตัวขึ้นศาลอีกครั้ง ในจำนวนนี้ 3 คนถูกรุมประชาทัณฑ์ก่อนจะถูกยิงและฝังในเขื่อน อีก 15 คนที่เหลือ 7 คนถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง หากก็ถูกปล่อยตัวหลังจากชำระเงินประกันตัวต่อมาที่เมืองเนโชบา
กลุ่มอาสาสมัคร 3 คน ประกอบด้วย มิกกี้ ชเวอร์เนอร์ อายุ 24 ปี หนุ่มผิวขาวจากนิวยอร์ก, แอนดี้ กู๊ดแมน อายุ 20 หนุ่มผิวขาวจากมหาวิทยาลัยควีนส์และจิม ชาเนย์ เด็กผิวดำ ถูกจับกุมข้อหาขับรถเร็ว และเมื่อปล่อยตัวออกจากคุก ทั้งสามก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย (แต่พบรถในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น) …รัฐบาลกลางเห็นคดีนี้ซ่อนเงื่อนเพราะตำรวจท้องถิ่นไม่ตั้งใจทำคดีนี้ จึงส่ง FBI มาช่วย แต่ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากประชาชนและตำรวจท้องที่มากนัก พวกเขาต้องใช้เวลาถึง 6 สัปดาห์ จนพบร่างเด็กทั้งสามถูกฝังริมเขื่อนลึกลงไปถึง 16 ฟุต ทำให้สมาชิกแคลน 21 คนถูกจับในฐานะผู้ต้องสงสัย นายอำเภอและผู้ช่วยนายอำเภอถูกจับข้อหาร่วมกันฆ่าเด็กทั้งสามประชาชนทั่วประเทศถึงกับตะลึงว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐทำผิดเสียเอง
…แต่นายอำเภอและผู้ช่วยนายอำเภอก็สามารถนั่งฟังการพิจารณาคดีแบบสบายอารมณ์ เพราะคณะลูกขุนเป็นคนผิวขาวทั้งหมด จำเลย 21 คน ได้รับการประกันตัวทันที แม้จำเลยคนหนึ่งจะรับสารภาพ แต่ผู้พิพากษากลับบอกว่า “คำสารภาพเชื่อถือไม่ได้” …แต่รัฐบาลกลางไม่ยอมจบเรื่อง …คดีนี้เลยยืดเยื้อจนถึงปี 1967 ศาลประกาศให้ผู้ต้องหา 8 คนพ้นผิด สามคนถูกปล่อยเพราะลูกขุนทะเลาะกันเอง อีก 7 คนถูกลงโทษ แต่พ้นจากคุกเพราะเงินการประกันตัวคนละ 5,000 เหรียญ23 มีนาคม 1965 นางวิโอลา ลุยโซ สตรีผิวขาวถูกยิงตายในขณะเข้าร่วมกิจกรรมกับคนผิวดำ …ประธานาธิบดีจอห์นสันถึงขั้นประกาศทำสงครามกับพวก KKK จึงส่ง FBI เข้าจัดการและเป็นฝ่ายชนะ
ในปี 1967 สภาผู้แทนสามารถนำตัวผู้นำเข้าคุกได้ในข้อหาพยายามฆ่าและใช้เงินทุนทำกิจกรรมน่าสงสัยในปี 1972 นายจอร์จ วอลเลซ ผุ้ว่าการรัฐอลาบานาถูกลอบสังหารขณะกล่าวปราศรัย คนยิงเป็นคนผิวขาวที่จงชังวอลเลซที่เป็นพันธมิตรต่อต้าน KKK เขาไม่ตายแต่อัมพาตตลอดชีวิต หลังจากนั้น KKK ก็หายสาบสูญไปจากอเมริกา กลายเป็นองค์กรเล็กๆ ที่สังคมรังเกียจ (เฉพาะคนผิวดำ) แต่กระนั้นแม้เป็นองค์กรเล็กๆ แต่ฤทธิ์ไม่ใช่เล่น จนถึงปัจจุบันที่ผ่านมา ยังมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นมากมายกับคนผิวดำอยู่บ่อยๆ และตำรวจไม่สามารถจับผู้ทำผิดไม่ได้ …จนบัดนี้กลุ่ม KKK ก็ยังซ่อนตัวอยู่ในสังคมคนผิวขาวและรอเวลาที่จะกลับมาอีกครั้ง

CR.http://lonesomebabe.wordpress.com/2008/12/11/ku-klux-klan-kkk-%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7/

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

มรดกของจักรวรรดิโรมัน


1.ด้านการปกครอง
    ชาวโรมันได้พัฒนาระบอบการปกครองของตนขึ้นเป็นระบอบสาธารณรัฐและจักรวรรดิ จุดเด่นของการปกครองแบบดรมัน คือ การที่พลเมืองมีส่วนร่วมในการบริหารส่วนกลาง และปกครองโดยใช้หลักกฎหมาย
1.1การปกครองส่วนกลาง
    พลเมืองโรมันแต่ละชนชั้น ต่างเลือกผู้แทนของตนเข้าไปบริหารประเทศรวม 3 สภา คือ สภาซีเนต ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มชนชั้นสูง สภากองร้อย ตัวแทนของทหาร สภาราษฎร ตัวแทนของสามัญชน เผ่าต่างๆ รวม 35 เผ่า แต่ละสภามีหน้าที่แตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วสภาซีเนตมีอำนาจสูงสุด เพราะควบคุมด้านการปกครอง บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ กำหนดนโยบายต่างประเทศ
1.2กฎหมายโรมัน
    ในระยะแรกกฎหมายได้ได้เขียนเป็นลายลักษณ์ การบังคับใช้จึงต้องเป็นไปตามวินิจฉัยของผู้พิพากษาซึ่งเป็น ชนชั้นสูง ต่อมาพวกสามัญชนได้เรียกร้องให้ทำกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษรขึ้น แกะสลักบนแผ่นไม้รวม 12 แผ่น เรียกว่า กฎหมาย 12 โต๊ะ ความโดดเด่นคือ ทันสมัย มีการปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับโครงสร้างการปกครองแบบจักรวรรดิ
     กฎหมายโรมันเป็นมรดกที่สำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานของกฎหมายของประเทศต่างๆในยุโรป และข้อบังคับของคริสต์ศาสนา
2.ด้านเศรษฐกิจ
    ส่วนใหญ่ผลิตทางด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และค้าขายในจักรวรรดิและนอกจักรวรรดิ

6
3.ด้านเกษตรกรรม
    ส่วนใหญ่เพาะปลูกพืชและข้าวเป็นหลัก ต่อมาเมื่ออาณาจักรขยายดินแดนออกไป การปลูกพืชในแหลมอิตาลีก็เริ่มลดลง เนื่องจากรัฐส่งเสริมให้ปลูกข้าวในเขตอื่นๆ โดยวิธีการปฏิรูปดิน ดินแดนที่ปลูกข้าวส่วนใหญ่ คือ แคว้นกอล ในฝรั่งเศสปัจจุบัน ส่วนในแหลมอิตาลีจึงปลูกองุ่นแทน เลี้ยงสัตว์
http://www.vcharkarn.com/uploads/4/4713.jpg  สีแดงที่เห็นนั้นคือ แคว้นกอล
4.ด้านการค้าและอุตสาหกรรม
    การข่นส่งส่วนใหญ่ติดต่อค้าขายสะดวก เพราะ มีถนนเชื่อมทั่วอาณาจักร สถานที่การค้าสำคัญได้แก่ ทวีปเอเชีย อินเดีย สินค้านำเข้า เครื่องเทศ ผ้าฝ้าย สินค้าฟุ่มเฟือยต่างๆ
    อุตสาหกรรมส่วยใหญ่อยู่ใน อิตาลี สเปน แคว้นกอล ประเภทสินค้า คือ เครื่องปั้นดินเผา สิ่งทอ
5.ด้านสังคม
    สังคมในจักรวรรดิ มี ภาษา การศึกษา วรรณกรรม การก่อสร้าง สถาปัตยกรรมต่างๆ วิทยาการ วิธีดำรงชีวิต
6.ภาษา
    ภาษาที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นภาษาละติน ซึ่งมาจากกรีก ที่อีทรัสคันนำมาใช้ มีพยังชนะ 23 ตัว และยังเป็นภาษาแม่แบบในยุโรปอีกด้วย
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/4/46/Calligraphy.malmesbury.bible.arp.jpg/250px-Calligraphy.malmesbury.bible.arp.jpg

7
7.การศึกษา
    โรงเรียนในจักรวรรดิจะมีในระดับประถมและมัธยม โดยชายและหญิงที่มี อายุ 7 ปีขึ้นไป เข้าเรียนโดยไม่ต้องเสียค่าเรียน ส่วนมัธยมเริ่มเมื่ออายุ 13 ปี วิชาที่ชาวโรมันจะต้องเรียน คือ ภาษาละติน เลขคณิต ดนตรี หากต้องการเรียนเฉพาะด้านต้องไปตามเมืองที่เปิดสอน
8.ด้านวรรณกรรม
    งานประพันธ์ของโรมันมีวัตถุประสงค์แตกต่างต่างจากกรีก กรีกจะมีสีสันและจินตนาการ แต่ของโรมันจะประพันธ์โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะรับใช้จักรวรรดิของตน จะสดุดีความยิ่งใหญ่ของชาวโนมัน เช่น 1.งานเขียนของเวอร์จิล (Virgil 70-19 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เรื่อง อีนีอิค มหากาพย์ว่าด้วยความเป็นมาของโรม  2.งานประพันธ์ร้อยแก้วของซิเซโร (Cicero 106-43 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ข้อเขียนทางการเมือง จริยธรรมในรูปแบบของสุนทรพจน์และจดหมาย งานประพันธ์ของเขายังใช้โวหารที่พิเศษ คือ ใช้โวหารเสียดสีประชดประชัน   
    นอกจากนี้ยังมีงานประวัติศาสตร์เน้นความยิ่งใหญ่ของโรมเช่น งานเขียนเรื่อง บันทึกสงครามกอล ของจูเลียส ซีซาร์ (100-44ปีก่อนคริสต์ศักราช) งานเขียนเกี่ยวกับอารยชน เรื่อง ชนเผ่าเยอรมัน ของแทกซิตัส
9.สถาปัตยกรรม
    ชาวโรมันไม่นิยมสร้างวิหารถวายเทพเจ้าอย่างกรีก โรมันจะสร้างอาคารต่างๆ เพื่อสนองความต้องการของรัฐ และประโยชน์ใช้สอยของสาธารณชน เช่น โรงมหรสพขนาดใหญ่ จุผู้ชมได้ถึง 67,000 คน สร้างสถานที่อาบน้ำสาธารณะ ดรมันยังได้คิดวิธีการเทคนิคการออกแบบประตูแบบโค้ง เปลี่ยนหลังคาเป็นแบบจั่วโดม
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgASl9NNco1WPJ1YStJgnuF44pesJ4G4ahWZtqWka_J1cOFXTP3j5TM1rvlQb_eBBZfy28zvM45D0ct_c2aP2bT8rY6lHby63ohMcR4LLv1JQBMwvCYlYwDY90KFbQ9Qny3fwAkEaaS2PFs/s1600/roman_forum.jpg   http://img.timeinc.net/time/photoessays/2007/wonders_a/colosseum.jpg
10.ประติมากรรม
    ประติมากรรมของดรมันจะสะท้อนบุคลิกภาพของมนุษย์อย่างสมจริง โรมันพัฒนาด้านการแกะสลักรูปเหมือนของบุคคลต่างๆ เช่น จักรพรรดิ นักการเมือง โดยเฉพาะท่อนครึ่งบนได้อย่างสมบูรณ์ อีกทั้งยังสะท้อนบุคลิกภาพของบุคคลที่เป็นแบบอย่างสมจริงที่สุด ชาวดรมันยังมีความเชื่อ ที่ว่า เมื่อแกะสลักรูปให้เหมือนจริงจะช่วยให้วิญญาณของคนที่ตายไว้แล้วไว้ได้  โรมันยังพัฒนาภาพนูนต่ำ เพื่อบันทึกเรื่องราว สดุดีวีรกรรมนักรบ
8
11.วิศวกรรม
    โรมันสามารถสร้างถนนคอนกรีตที่มีความแข็งแรงทนทานได้ สองข้างถนนยังมีท่อระบายน้ำ มีหลักบอกระยะทาง
นอกจากนี้ยังสร้างท่อส่งน้ำหลายแห่งเพื่อเอาน้ำจากภูเขา เข้าสู่เมือง
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/23/Pont_du_gard.jpg/280px-Pont_du_gard.jpg  ท่อส่งน้ำ
12.ปฏิทิน
    ชาวโรมันใช้ปฏิทินจันทรคติ ปีหนึ่งมี 10 เดือน ภายหลังเพิ่มเป็น 12 เดือน แต่ก้คลาดเคลื่อนไปตามฤดู จนในสมัยจูเลียส ซีซาร์ ให้ใช้ปฏิทินแบบสุริยคติ ปีหนึ่งมี 12 เดือน ปีละ 365 วัน และเพิ่มวันในเดือนกุมภา ทุกๆ 4 ปี ให้มี 366 วัน ปฏิทินนี้ใช้มานานถึง 1600 ปี จึงมีการปรับปรุงปฏิทินกอเรียนใน ปี ค.ศ. 1582


http://teen.mthai.com/wp-content/uploads/2013/08/20100329172549.jpg

ขอบคุณข้อมูลจาก
www.wiki.com
หนังสือประวัติศาสตร์ ม.ปลาย

อารยธรรมโรมัน 1

อารยธรรมโรมัน
    มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงโรม ณ แหลมอิตาลี เป็นอารยธรรมของพวกอินโด-ยูโรเปียน เผ่าละติน(Latin)  ซึ่งอพยพจากทางตอนเหนือมาตั้งถิ่นฐานในแหลมอิตาลี เมื่อ 1000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช และเรียกตัวเองว่าโรมัน”  โรมันได้ทำการครอบครองเฮลเลนิสติก และยุโรป แอฟริกาตอนเหนือ ซึ่งทำให้อารยธรรมของโลกตะวันออกผสมกับอารยธรรมกรีก ได้ขยายเข้าไปในยุโรป ซึ่งเป็นรากฐานมาจนถึงปัจจุบัน
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/6a/She-wolf_suckles_Romulus_and_Remus.jpg/260px-She-wolf_suckles_Romulus_and_Remus.jpg
 ตามตำนานโรมก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 753 ก่อนคริสต์ศักราชโดยรอมิวลุส และรีมุสที่ถูกเลี้ยงด้วยแม่หมาป่า
1.1    ปัจจัยทางภูมิศาสตร์กับการตั้งถิ่นฐาน
  บริเวณคาบสมุทรอิตาลี อยู่ทางตอนใต้ของยุโรป มีลักษณะเป็นแหลมยื่นลงไปในทะเลเมริเตอร์เรเนียน    ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาและเนินเขา บริเวณที่ราบมีน้อย
  ภูมิประเทศตอนกลางเป็นคาบสมุทรเล็กๆ จึงทำให้มีการตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจาย พื้นที่เกษตรมีไม่มาก เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้นทำให้ทำการเกษตรไม่เพียงพอ จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ชาวโรมันขยายอาณาเขตไปยังดินแดนอื่นๆ
 สภาพภูมิอากาศอบอุ่น มีฝนตกในฤดูหนาว อากาศแห้งในฤดูแล้ง มีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์อยู่มาก เช่น เหล็ก สังกะสี เงิน หินอ่อน ยิปซัม เกลือ โพแทซ ทรัพยากรป่าไม้ บริเวณนี้ยังสามารถเดินทางค้าขายทางเรือได้อย่างสะดวก เนื่องจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์จึงทำให้ชาวโรมันมีนิสัยอดทน มีระเบียบ
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhGP6NgR87aDuxyoLvzogmjbhAg5dk6jUy7igCHlDn4Nftlsarx4sSpIdf0L-pjwz6t_gG8uWP0Sl-VT1UpEEtGS96DlqMAuCOt6YcWKJm0FxVuoWUIrPl8tRBxneJpZ9JLlZrDTDlbew3R/s1600/1051111-234647-Zwischenablage01000000000000.jpg
  2
1.2ปัจจัยส่งเสริมการขยายอำนาจของจักรวรรดิโรมัน
    โรมันขยายอำนาจเหนือดินแดนต่างๆ นานหลายร้อยปี โดยมีปัจจัยส่งเสริม คือ สภาพภูมิศาสตร์ของแหลมอิตาลี ระบอบการปกครอง กองทัพโรมัน
1.2.1ระบอบการปกครองของโรมัน
    ตอนแรกมีการปกครองแบบสาธารณรัฐขึ้นหลังจากรวจอำนาจในแหลมอิตาลีได้ ระบอบนี้สร้างความปึกแผ่นให้กับโรมัน เพราะเปิดโอกาสให้พลเมืองทุกชนชั้น ได้แก่ ชนชั้นสูง สามัญชน ทหาร ได้มีส่วนร่วมในการปกครอง ด้วยการเลือกตั้งตัวแทน การประกาศสงคราม มีกงสุล(Consul) ที่มาจากการเลือกตั้งทำหน้าที่ประมุขและบริหารทุกด้าน
    ต่อมา เมื่อโรมันขยายอำนาจครอบครองดินแดนต่างๆ จึงเปลี่ยนเป็นจักรวรรดิ โดยมีจักรพรรดิเป็นผู้นำสูงสุด และแต่งตั้งคนไปปกครองอาณานิคมต่างๆ
1.2.2กองทัพโรมัน
    กองทัพโรมันมีชื่อเสียงในด้านประสิทธิภาพการรบ ความสำเร็จส่วนใหญ่เกิดจากการจัดการองค์กรในกองทัพไว้อย่างดีเยี่ยม การฝึกฝนทหารให้มีวินัย ใช้บทลงโทษที่รุนแรง พลเมืองชายทุกคนในโรมันล้วนแต่จะต้องเป็นทหารเมื่อยามเกิดสงคราม ส่วนใหญ่ไม่มีตำแหน่งยกเว้น ปฎิบัติหน้าที่ 10 ปีขึ้นไป
    กองทัพโรมันสำคัญมากขึ้นในสมัยจักรวรรดิ ซึ่งต้องอาศัยกองทัพในการอยู่รอด จักรวรรดิโรมันได้สร้างป้อม ค่ายทหารจำนวนมาก ตามแนวชายแดนโดยเกณฑ์ชาวพื้นเมือง จึงมีทหารตามแนวชายแดนกว่า 500,000 คน และมีการสร้างถนนเชื่อมเมืองต่างๆเข้ากับโรม จนมีคำขวัญว่า ถนนทุกสายมุ่งสู่โรม

http://f.ptcdn.info/461/008/000/1376597422-5278127f52-o.jpg

ขอบคุณข้อมูลจาก
www.wiki.com
หนังสือประวัติศาสตร์ ม.ปลาย

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

นักปราญช์ยุดภูมิธรรมและศิลปะ

นักปราญช์ในยุดภูมิธรรม
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/b/be/Flag_of_England.svg/125px-Flag_of_England.svg.png1.ทอมัส ฮอบส์ – ผู้สนับสนุนการปกครองแบบกษัตริย์ ผลงาน ลีไวอาทัน
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/b/be/Flag_of_England.svg/125px-Flag_of_England.svg.png2.จอร์น ล็อก ทฤษฎีที่ว่ารัฐบาลมาจากประชาชนและประชาชนมีสิทธิที่จะล้มลงได้ เขียนหนังสือเรื่อง Two Treatises
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/c/c3/Flag_of_France.svg/125px-Flag_of_France.svg.png3.บารอน เดอ มองเตสกิเออร์ผู้เขียนหนังสือ The Spirit of laws ผู้เสนอให้มีการแยกอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย 1.นิติบัญญัติ 2.ฝ่ายบริหาร 3.ฝ่ายตุลาการ
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/c/c3/Flag_of_France.svg/125px-Flag_of_France.svg.png4.วอลแตร์คัดค้านระบอบเผด็จการ ต่อต้านความงมงาย หนังสือ จดหมายปรัชญา
http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/c/c3/Flag_of_France.svg/125px-Flag_of_France.svg.png5.ชอง-ชารูโซ- โจมตีการปกครองที่ล้มเหลวของรัฐบาลและความฟอนแฟะของสังคม งานเขียนของเขา สัญญาประชาคม
7.ศิลปะสมัยใหม่
7.1บารอก คริสต์ศตวรรษที่ 16-18 ยุดกษัตริย์มีอำนาจ
ลักษณะ   - ยิ่งใหญ่หรูหรา แสดงอารมณ์สงบนิ่ง แฟงด้วยปรัญญา
จิตรกรรม  -ภาพ 3 มิติ
สถาปัต     -หรูหรา ฟุ่มเฟือย เช่นพระราชวังแวร์ซาย
ดนตรี       - ออเคสตร้า
วรรณกรรม-จินตนาการที่เกินจริง
7.2คลาสสิกใหม่(นีโอคลาสสิก) คริสต์ศตวรรษที่18-19 สมัยแห่งภูมิปัญญา
ลักษณะ     -แสดงถึงความเชื่อมั่นในปัญญาของตนเอง
สถาปัต      –เน้น ความสมดุลสง่างาม
วรรณกรรม –สะท้อนถึงความรู้สึกที่อยากจะปรับปรุงสังคม มีนักปราชญ์ คือ วอลแตร์, รูโซ
ประติมากรรม –เลียนแบบกรีก – โรมัน
จิตรกรรม -เน้นเส้นมากกว่าสี แสดงถึงความยิ่งใหญ่ในความเรียบง่าย
นาฏกรรม-ความสมเหตุสมผล
ดนตรี      -แสดงถึงความเชื่อมั่น นักดนตรีได้แก่ โมซาร์ท , บีโทเฟน
7.3จินตนิยม(โรแมนติก) คริสต์ศตวรรษที่ ปลาย 18-กลาง19
ลักษณะ -ชื่นชมความสละสลวยของธรรมชาติ
สถาปัต  –ใช้จินตนาการเพื่อให้เกิดอารมณ์
จิตรกรรม-สะเทือนอารมณ์ รุนแรง ตื่นเต้น เร้าใจ ใช้สีสดใส ตัดกันอย่างรุนแรง
ดนตรี     -เน้นการแสดงออกของอารมณ์ ความรู้สึกชาตินิยม มีนักดนตรี คือ ซิมโฟนี
วรรณกรรม-แสดงถึงความรู้สึก ประทับใจในธรรมชาติ ผลงาน -เหยื่ออธรรม
ประติมากรรม-ได้รับอิทธิพลจากแบบกอทิก เช่น ประตูชัย
7.4ศิลปะแบบสัจนิยม ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19
ลักษณะ   -เน้นการมองโลกในความเป็นจริง ต่อต้านศิลปะแบบแบบจินตนิยม(แบบโรแมนติกโลกสวย)
สถาปัต    -เรียบง่าย เน้นการใช้ประโยชน์
จิตรกรรม -สะท้อนความเป็นจริงของสังคม และสังคมอุตสาหกรรม
ดนตรี       -สีสันและจังหวะ
วรรณกรรม-เน้นวิพากษ์วิจารณ์ ตีแผ่สภาพความเป็นจริง

ประติมากรรม-ปั้นรูปหล่อ เช่น นักคิดของโอกุส โรแดง

ขอบคุณข้อมูลจาก
www.wiki.com

หนังสือประวัติศาสตร์ ม.ปลาย

ยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยา จุดเริ่มต้น นักวิทยาศาสตร์

1.ยุดฟื้นฟูศิลปะวิทยา (Renaissance) ค.ศ.1350-1650
แปลว่า เกิดใหม่ หรือคืนชีพ หมายถึง ยุดที่ได้นำเอาวิทยาการของ กรีกและโรมันมาประยุกต์ใช้ใหม่ซึ่งอยู่ในสมัยปลายยุดกลางและยุดใหม่ตอนต้น(ยุดใหม่เริ่มเมื่อปี ค.ศ. 1492)



https://www.google.co.th/maps/vt/data=U4aSnIyhBFNIJ3A8fCzUmaVIwyWq6RtIfB4QKiGq_w,MFa3EcaETQngNeeeaBwJNTmX77lmUPUhhIkDoGyulMDvB8x4Y3cQ5LeEsLd6GffNAxFzLdYdlhZQY-XCb_0BEnZGUn0e8Dh7Csjc-xumP8KnkNo2.การสำรวจทางทะเล ค.ศ. 1450-1750 400กว่าปี
เริ่มต้นขึ้นเมื่อออตโตมันสามารถยึดกรุงคอนสแตนติน(ปัจจุบันคือกรุงIstanbul) ทำให้ เส้นทางการค้าถูกตัดขาดเพราะเมื่อก่อนถ้าจะค้าขายกับตะวันออกต้องผ่านเส้นทางนี้ทางเดียว แต่ออตโตมันเป็นอิสลามซึ่งไม่ชอบพวกคริสต์ซะด้วยสิ เพราะตอนนั้นเกิดสงครามครูเสด เรื่องไรจะให้ผ่าน...  อ้าว งานก็เข้าพี่ยุโรปแล้วนะสิ นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกิดการสำรวจเส้นทางใหม่!!! +กับความรู้จากตะวันออกที่เข้ามาทำให้ชาวยุโรปจึงต้องพิสูจน์ว่าโลกแบนหรือกลมกันแน่
2.1การค้นพบเส้นทางเดินเรือสู่ดินแดนตะวันตก
2.1.1 บอกเป็นเหตุการณ์เลยละกัน
-เจ้าชายเฮนรีนาวิกราชแห่งโปรตุเกส จัดตั้งโรงเรียนราชนาวีที่แหลมซาเกรส
-ค.ศ. 1488 บาร์โทโลมิวไดแอสเดินทางผ่านแหลมกู๊ดโฮปสำเร็จเป็นผลทำให้ในปี 1498 วัสโก ดา กามาใช้เส้นทางนี้จนแล่นไปถึงเอเชีย รวม93วัน ไปขึ้นฝั่งที่เมืองกาลิกัตในอินเดีย สองคนนี้เป็นชาวโปรตุเกสนะ
-ค.ศ. 1492 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ชาวเจนัว คนอิตาลี ค้นพบทวีปอเมริกา โดยได้รับทุนจากกษัตริย์สเปน(จริงเฮียสเปนแกให้ทุนโคลัมบัสไปจีนนะ แต่ดันบังเอิญพบอเมริกาซึ่งโคลัมบัสเนี่ย-..-คิดว่าเมกาคืออินเดียจนแกตายอะ)
-ค.ศ. 1494 สเปนกับโปรตุเกสทะเลาะแย่งดินแดนกัน งานนี้จึงให้พระสันตปาปาอะเล็กซานเดอร์ที่ 6
 ตัดสิน ซึ่งท่านก็ให้ทั้ง 2 ทำสนธิสัญญาทอร์เดซียัส กำหนดให้เส้นเมริเดียนที่ 370 ทางตะวันตกของหมู่เกาะแคปเวิร์ด ซึ่งแบ่งโลกเป็น 2 ส่วน สเปนได้ตะวันตก โปรตุเกสได้ตะวันออก
ค.ศ. 1497 อเมริโก เวสปุชี ได้ทุนจากโปรตุเกสไปตามเส้นทางของโคลัมบัส จึงได้รู้ว่าไอโคเอ็งมั่วแล้ว นี้คือ The New World ทวีปใหม่ตะหาก เลยถือวิสาสะตั้งชื่อ ว่าอเมริกาซะเลย
ค.ศ. 1511อาฟองโซ เดอ อัลบูเกร์เก ยึดคาบสมุทรมลายูและอินโด ให้อยู่ภายใต้อิทธิพลของโปรตุเกส
ค.ศ.1519 เฟอร์ดินัน มาเจลสัน แล่นจากท่าเรือสเปนไปทางตะวันตกได้อ้อมผ่านแหลมมาเจลสันทางตอนใต้ของทวีปอเมริกา และผ่านมหาสมุรแปซิฟิก เขาเลยตั้งชื่อมันว่า มาเร ปาฟิโก แปลว่า สงบนั้นเอง เขาเป็นคนแรกที่เดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ไปถึงฟิลิปปินส์ แต่โดนชนพื้นเมืองตุ๋ยเอ้ย ฆ่าตายแต่ลูกน้องของเขาเซบาสเตียนสามารถนำเรือกลับมาเทียบท่าในปี 1522 เลยกลายเป็นเรือลำแรกที่เดินทางรอบโลกพิสูจน์ว่าโลกกลม
ค.ศ.1580 สเปนยกทัพเข้ายึดโปรตุเกส จนถึงปี 1640
ค.ศ. 1606 วิลเล็ม เจนซ์ ชาวฮอลันดา เจอทวีปออสเตเลีย
ส่วนอังกฤษนั้น ในปี ค.ศ. 1588 สมัยของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบททที่ 1 นำกองเรือเอลิซาเบท เข้าโจมตีกองเรือ อามาดาของสเปนได้รับชัยชนะ ทำให้อังกฤษผงาด จนในปี 1591 ก็ส่งกองเรือผ่านแหลมกู๊ดโฮบ
มายังอินเดียสำเร็จ
ผลของการค้นพบดินแดนใหม่
1.มีชาวยุโรปไปตั้งถิ่นฐาน
2.นำคนดำมาเป็นทาส
3.ผสมผสานวัฒนธรรม
4.ทำลายเผ่าพื้นเมือง
5.การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม
6.การค้าและล่าอาณานิคม
7.การประกาศคริสต์ศาสนาในโลกใหม่ ( While man burden ภาระของคนผิวขาว)
https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEeO2jwjC6uDaAUxkKUotxnHWbQ1PnNj_jX5c6PQpbEzql39wJuF1Oaiw_ipMscjb_BpkN5LZ_OGeZbsXTkA_RHrtEcwUc8woJidtylf5sihygUdYJNQTcAvkFZGXML_Hwi65FNPQwWfI3/s400/350px-Magellan-Map-En.pngเส้นทางของมาเจลสัน
3.การปฏิวัติอุสาหกรรม
 ตอนนี้คนเริ่มไม่เชื่อศาสนาแล้ว จึงเกิดการฟื้นฟูศิลปะวิทยาขึ้น เริ่มเห็นว่า แท้จริงแล้วมนุษย์นั้นสามารถพัฒนาชีวิตตนเองให้ดีและมีคุณค่าได้จึงเป็นที่มาของ ลัทธิมนุษยนิยม Humanism
Michelangelo-Buonarroti1.jpgโดยมี ฟรันเซสโก เปทราก เป็นบิดาแห่งมนุษยนิยม  เรามาดูผู้สร้างสรรงานศิลปะกันบ้าง
1.มีเกลันเจโล บูโอนาร์โรตี งานประติมากรรมที่สำคัญ คือ 1.รูปสลักเดวิด       2.ปิเอตา 3.จิตรกรรมฝาผนังของโบสถ์ซีสติน



http://www.manager.co.th/asp-bin/Image.aspx?ID=23545382.เลโอนาร์โด ดา วินชี นายคนนี้มากไปด้วยความสามารถไม่รู้ใช่คนหรือเปล่า ผลงานที่สำคัญ คือ 1.ภาพอาหารมื้อสุดท้าย 2.โมนาลิซา



3.ราฟาเอล เด็กหนุ่มผู้มากไปด้วยความสามารถ ผลงาน 1.พระแม่ พระบุตร และจอห์น แบปติสต์
ด้านวรรณกรรมก็จะมี
1.เปทราก ดิแคเมอรอน =บทร้อบกรองซอนเนต
2.โจวันนี บอกกัชโช =เจ้าผู้ครองนคร
3.เซอร์ทอมัส มอร์ =ยูโทเปีย
4.การปฏิรูปศาสนา
  มีจากหลายเหตุผลดังนี้
1.สันตะปาปาและพระชั้นสูงบางองค์มีความฟุ่มเฟือยเกิน
2.พระสันตะปาปามีฐานะเป็นเจ้าผู้ปกครอง ไปมีส่วนร่วมทางการเมืองในยุโรป เช่น แคว้นต่างๆในเยอรมัน
3.มุ่งเน้นพิธีกรรมมากเกินไป
4.การขายใบไถ่บาปของสันตะปาปาจูเลียสที่ 2
ซึ่งจากเหตุผลในข้อ 4 นั้น ทำให้ชายคนหนึ่งไม่พอใจ คือ มาร์ติน ลูเทอร์ โดยเฮียแกได้ปิดประกาศคำประท้วง 95 ข้อ หน้ามหาวิหารวิทเทนแบร์ก
ทำให้ในปี 1521 เค้าถูกตาหน้าว่าเป็น คนนอกศาสนา แต่เจ้านครแคว้นแซกโซนีได้ดูแลเฮยแกไว้ เฮียแกเลยแปลคัมภีร์จากภาษาละตินเป็น เยอรมัน ทำให้คนทั่วไปเกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ในที่สุดก็เกิดนิกายใหม่ คือ โปรแตสแตนส์ แบ่งเป็น
1.นิกายลูเทอร์
2.นิกายคาลวิน
3.นิกายแองกลิกัน
ผลที่ตามมา
1.การทำสังคยานา
2.มีคริสต์ 2 นิกาย
3.เกิดการแข่งขันระหว่างนิกายต่างๆ
4.สภาพสังคมเปลี่ยน
5.ระบอบรัฐชาติแข็งแกร่งขึ้น
5.การปฏิวัติวิทยาศาสตร์
บอกเป็นนักวิทยาศาสตร์และผลงาน
1.นิโคเลาส์ โคเพอร์นิคัส ค้นพบจักรวาล ที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง
2.กาลิเลโอ กาลิเลอี กล้องดูดาว โทรทัศน์
3.เซอร์ฟรานซิส เบคอน จัดตั้งราชบัณฑิตยสมาคม เพื่อส่งเสริมงานด้านวิทยศาสตร์
4. เรอเน เดการ์ต  ใช้หลักเหตุผล การพิสูจน์และตรวจสอบข้อเท็จจริง
5.เซอร์ไอแซก นิวตัน ค้นพบแรงโน้มถ่วง
6.เคป เลอร์ โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์
7.เมอร์ เคเตอร์ สร้างแผนที่โลก
8.โรเบิร์ต บอยส์ บิดาแห่งเคมี
9.เบนจามิน แฟรงคลิน สายล่อฟ้า
10. ไอสไต ทฤษฎีสัมพันธภาพ
6.ยุคภูมิธรรม(ยุคของการปฏิวัติวิทยาศาสตร์)
อุตสาหกรรมทอผ้าและเครื่องจักรไอน้าก้าวแรกของการปฏิวัติอุตสาหกรรม
1.ค.ศ. 1721 ทอมัส นิวโคเมน สร้างเครื่องจักรไอน้ำเพื่อสูบน้ำออกจากถ่านหิน
2.ค.ศ. 1729 เจมส์ วัตต์ ได้ปรับปรังใหม่เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า (ใช้พลังงานจากถ่านหิน)
3.ค.ศ. 1733 จอร์น เคย์ ได้ทำกี่กระตุกขึ้นมาทำให้ผลิตเสื้อผ้าได้มากขึ้น 2 เท่า
4.ค.ศ. 1764 เจมส์ ฮาร์กรีฟส์ สร้างเครื่องปั่นด้ายชื่อ สปินนิงเจนนี
5.ค.ศ. 1769 ริชาร์ด อาร์ไรต์ ได้ปรับปรุง สปินนิงเจนนี ให้ดีขึ้นโดยเปลี่ยนเป็นพลังงานน้ำแทนแรงคนชื่อว่า วอเตอร์เฟรม
6.ค.ศ. 1793 เอไล วิตนี ทำเครื่องจักรกลคอตตันยิน ที่แยกเมล็ดออกจากใยได้สำเร็จ
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 โรงงานต่างๆได้นำเครื่องจักรไอน้ำมาใช้ แต่เมื่อมีเครื่องจักรไอน้ำของ             เฮีย เจมวัตต์ ที่ใช้พลังงานถ่านหิน ทำให้โรงงานไม่จำเป็นที่จะต้องตั้งใกล้แหล่งน้าในปี 1800
7.ค.ศ.1784 เฮนรี คอร์ต ได้คิดวิธีหลอมเหล็กขึ้น
8.ไมเคิล ฟาลาเดย ไดนาโม 
9.อเล็กซานเดอร์ เกรแหม โทรศัพท์
10. โทมัส เอวา เอดิสัน หลอดไฟและผลงานชิ้นอื่นๆกว่าอีก 328 ชิ้น (จะเยอะไปไหน 0..0)
11.หลุย ปาสเตอร์ เซรุ่มแก้พิษสุนัขบ้า
12.ชาร์ดาวิน ทฤษฎี อีโวลูชั่น วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต

ผลกระทบของระบบอุตสาหกรรม
1.ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันระหว่างนายทุนกับลูกจ้าง
2.เกิดระบอบสังคมนิยม โดยคาร์ล มากซ์
นักปราญช์ในยุดภูมิธรรม
1.ทอมัส ฮอบส์
2.จอร์น ล็อก
3.บารอน เดอ มองเตสกิเออร์
4.วอลแตร์

5.ชอง-ชารูโซ

ขอบคุณข้อมูลจาก
www.wiki.com

หนังสือประวัติศาสตร์ ม.ปลาย