วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Ku Klux Klan (KKK): องค์กรเหยียดสีผิว

Ku Klux Klan (KKK) เป็นองค์กรลับในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในรัฐทางตอนใต้แล้วขยายไปทั่วประเทศ เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นกลุ่มที่สนับสนุนคนผิวขาว และมีพฤติกรรมเป็นผู้ก่อการร้ายที่ซ่อนตัวภายใต้หมวกรูปกรวย หน้ากากและชุดคลุมสีขาว KKK ถูกบันทึกไว้ว่ามีส่วนในการก่อการร้าย, ความรุนแรงและการใช้ศาลเตี้ยในการตัดสินประหารชีวิต เพื่อข่มขู่, สังหารและบังคับกดขี่ชาวอเมริกัน-อัฟริกัน, ยิวและชนกลุ่มน้อยอื่นๆ นอกจากนี้ยังทำการต่อต้านคัดค้านพวกโรมันคาธอลิกและสหภาพแรงงานด้วย (Roman Catholics and Labor Unions)
กลุ่ม KKK มีจุดเริ่มต้นในปี 1865 หลังจากสงครามฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ในอเมริกา ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายเหนือ ทำให้ทาสคนผิวดำได้รับการปลดปล่อยและเกิดการยอมรับในสิทธิ์ประชาชนของคนผิวดำว่าเท่าเทียมกับคนผิวขาว ส่วนหนึ่งของอดีตกองทหารฝ่ายใต้ซึ่งไม่พอใจต่อเหตุการณดังกล่าวได้รวมตัวกันขึ้นเพื่อสร้างสังคมที่ให้สิทธิ์พิเศษแก่คนผิวขาวขึ้นมาอีกครั้งที่เมืองพัลลาสกีในเทนเนสซีในวันที่ 24 ธันวาคม ซึ่งนี่ก็คือจุดเริ่มต้นขององค์การคนผิวขาว KKK หรือ คูคลั๊กซ์คลัน นี่เอง
…ไม่เป็นที่แน่ชัดนักว่าที่มาของชื่อดังกล่าวคืออะไร บางเอกสารบอกว่ามาจากเสียงที่เกิดเมื่อบรรจุกระสุนลงในไรเฟิลรุ่นเก่า หากที่มีชื่อเสียงที่สุดนั้นกล่าวว่ามาจาก κυκλος (kuklos) ในภาษากรีกซึ่งหมายถึง “วงกลม” หรือ “พวกพ้อง” และ clan ในภาษาเกลซึ่งหมายถึง “ชนเผ่า”
ปี 1867 หลังงานชุมนุมซึ่งจัดในฤดูร้อนที่แนชวิล จำนวนสมาชิกของ KKK ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งที่นี่เองที่ KKK ถูกสร้างเป็นองค์กรอย่างเป็นทางการ มีการแต่งตั้งตำแหน่งกลุ่มนักรบแคลน มีศักดิ์เป็นลำดับคือ แกรนด์วิซาร์ด, แกรนด์ดรากอน, แกรนด์ไทแทนส์และแกรนด์ไซคลอปส์ โดยนาธาน เบดฟอร์ด ฟอร์เรสต์ อดีตนายพลฝ่ายใต้ เป็นแกนด์วิซาร์ดคนแรก
KKK ในช่วงแรกยังไม่มีการก่อความรุนแรงอะไรมากมาย เป้าหมายของพวกเขาเป็นเพียงการแสดงอำนาจให้คนผิวดำเห็นว่าตัวเองเป็นฝ่ายเหนือกว่าเสียมากกว่า คนผิวดำซึ่งเพิ่งได้รับอิสรภาพมาหมาดๆ ในยุคนั้นยังด้อยความรู้และมีความงมงายอยู่มาก การข่มขู่ให้พวกเขาหวาดกลัวจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่สมาชิกของกลุ่มใส่ชุดขาวมีหมวกคลุมศีรษะซึ่งเปิดให้เห็นแต่ตากับปากแล้วถือคบเพลิงเดินขบวนไปตามถนนในตอนกลางคืน เท่านี้เหล่าคนผิวดำก็พากันผวานึกว่าเป็นผีและไม่กล้าออกจากบ้านไปในยามค่ำคืนแล้ว
หากในไม่ช้าการเคลื่อนไหวของ KKK ก็ค่อยๆ เพิ่มความรุนแรง โหดเหี้ยมขึ้น มีการรุมทำร้าย เผาบ้านและปล้นคนผิวสี ข่มขืนสตรี พวกเขาใส่ชุดขาวเดินสำรวจไปทั่วเมือง เมื่อพบคนผิวดำออกมาเดินนอกบ้านนอกเวลาที่พวกเขากำหนดก็จะลากมาเฆี่ยน ทั้งยังทำร้ายคนผิวดำที่ใช้สิทธิ์ของตัวเองหรือแม้แต่คนผิวขาวด้วยกันที่แสดงการสนับสนุนคนผิวดำ ซึ่งในบางครั้งการทำร้ายนี้รุนแรงไปจนกลายเป็นการแขวนคอก็มี
อำนาจของ KKK ถึงจุดสุดยอดในช่วงระหว่างปี 1865-1870 มีกองกำลังอันเกรียงไกร สามารถกำราบคนดำในเขตนอร์ทแคโรไลน่า เทนเนสซีและจอร์เจีย ทำให้รัฐบาลพยายามประนีประนอมกับผู้นำกลุ่มฝั่งใต้ด้วยการแก้กฏหมาย เป็นอีกครั้งที่สิทธิ์ในการปกครองถูกแย่งไปจากมือคนผิวดำ แต่ก็ทำให้ความจำเป็นของ KKK หมดไป
ในปี 1871 รัฐบาลประกาศให้ KKK เป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายนอกกฏหมายซึ่งมีอันตรายต่อระบอบการปกครองและทำการกวาดล้าง ทำให้ KKK ต้องแยกตัวไป หากเป็นเพียงการแยกตัวชั่วคราวเท่านั้น
แม้เวลาผ่านไปนานแล้ว แต่สังคมอเมริกายังเหยียดสีผิวไม่เลิก มีหลายรัฐที่มีกฎหมายต่อต้านคนผิวดำ พวกเขาเป็นพลเมืองชั้นต่ำ ไม่มีประโยชน์ต่อประเทศ ชาวผิวดำถูกจำกัดที่อยู่ จำกัดการศึกษา รถเมล์ก็ขึ้นไม่ได้ พอถึงปลายศตวรรษที่ 19 …ความกลัวของชนชั้นผิวขาวเริ่มปรากฏ เมื่อมีการอพยพชนผิวสีจากทั่วโลกหลายล้านคนมาในอเมริกา เช่น จีน ญี่ปุ่น จาไมก้า แอฟริกา ทำให้ชนผิวขาวเริ่มวิตกว่า พวกเขาจะตกงานและตกต่ำกว่าที่เป็นอยู่
ในปี 1915 – KKK จึงกลับมาอีกครั้ง
บาทหลวงของศาสนาคริสต์ลัทธิเมโซดิสต์ วิล ซิมอนส์ (20) อ้างว่าได้ยินเสียงพระเจ้าในความฝันให้ฟื้นฟู KKK ขึ้นอีกครั้ง ซิมอนส์ซึ่งเดิมมีแนวคิดนิยมคนผิวขาวอยู่แล้วจึงรวบรวมคน 34 คนและประกาศการก่อตั้ง KKK ขึ้นใหม่ KKK ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นใหม่นี้ ในความจริงแล้วมีแนวทางที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากเดิมที่เคยหยุดอยู่แค่ “การสั่งสอน” พวกซิมอนส์ยึดหลักแบ่งชนชาติอย่างรุนแรงและมีเจตนารมณ์จะขจัดคนเชื้อชาติอื่นออกไปจากอเมริกาให้หมด
ในขณะนั้น สงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่งจะจบไป สังคมกำลังอยู่ในสภาวะไม่แน่นอน คนที่ไม่มีที่พึ่งมากมายเข้ามาเอา KKK เป็นที่ยึดเหนี่ยวทำให้จำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะการเข้ามาของคนดังในสังคมที่เข้าร่วมกิจการประชาสัมพันธ์และการหาทุนเข้าองค์กร …KKK รุ่นที่ 2 ได้รับการตอบรับดีจากคนผิวขาวอย่างมาก การเป็น KKK ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัวชาวอเมริกัน นักธุรกิจและผู้นำเริ่มเปิดเผยว่าอยู่ในองค์กรนี้ เช่น ฮูโก แอลแบล็ก และมีนักกฎหมายระดับสูงที่ประกาศตนว่าเป็น KKK
ปี 1922 เฉพาะที่เท็กซัสก็มีคดีทำร้ายร่างกายกว่า 100 คดีที่เกี่ยวข้องกับ KKK
ปี 1923 เกิดคดีรุมทำร้ายที่โอกราโฮม่ากว่า 2,300 คดี …KKK จะส่งจดหมายขู่และ “ไล่ที่” ไปยังบ้านของคนผิวดำและคนผิวขาวซึ่งสนับสนุนคนผิวดำ เมื่อไม่ได้รับการปฏิบัติตามก็จะทำการเข้ารุมทำร้าย ในบรรดาวิธีการรุมทำร้าย (Lynch) เหล่านี้ วิธีที่มีชื่อเสียงได้แก่ “Tar & Feather” ซึ่งเป็นการเอาผู้เคราะห์ร้ายมาราดน้ำมันดินจนท่วมแล้วจับคลุกขนนกให้ติดทั่วตัว ก่อนจะแห่ไปตามถนน มีการเผาบ้านกันเป็นกิจวัตร บางครั้งรุนแรงถึงกับใช้น้ำกรดเพื่อประทับสัญลักษณ์ของพวกตนลงบนร่างของผู้เคราะห์ร้าย บ้างก็ตัดแขนขา บ้างก็เอายางรถยนต์ห้อยคอผู้เคราะห์ร้ายแล้วจุดไฟ บ้างก็จับมัดไปวางให้รถไฟทับ บ้างก็จับแขวนคอ
สิงหาคม 1925 พวก KKK เดินขบวนกว่า 40,000 คน พวกเขาโบกธงชาติอเมริกันและธงทหารฝ่ายใต้ แสดงถึงการคลั่งเผ่าพันธุ์ …แน่นอนว่าสังคมก็ไม่ได้อยู่เฉย มีการประท้วงความรุนแรงซึ่งทางกลุ่มก่อขึ้น โดยสื่อมวลชนและองค์กรต่างๆ ประกอบกับการแก่งแย่งกันเองภายในกลุ่ม ทำให้ซิมอนส์ถูกขับออกจากตำแหน่งผู้นำในปี 1923 เนื่องจากมีข่าวฉาวโฉ่เรื่องข่มขืนและสังหารเด็กวัยรุ่น และคดียักยอกเงินกว่าหนึ่งล้านดอลล่าร์สหรัฐ และแล้ว KKK ก็สูญเสียการสนับสนุนจากประชาชนในที่สุดการก่อตั้ง FBI ทำให้ KKK อ่อนแอลงเรื่อยๆ หากองค์กรนี้ก็ไม่หมดลมหายใจไปง่ายๆ
ในรัฐอลาบาม่า จอร์เจีย มิสซิสซิปปี้และอีกหลายรัฐ ยังมีคดีทำร้ายคนผิวดำเกิดขึ้นเป็นระยะและยังคงมีการเคลื่อนไหวขอกลุ่มอยู่ เป็นต้นว่า วันที่ 18 สิงหาคม ปี 1940 พวก KKK เริ่มสมคบกับนาซีใหม่ในอเมริกาและเดินขบวนร่วมกัน พวกแคลนร้องเพลงนาซีอย่างสนุกสนาน และในปีเดียวกันนั้นเอง อเมริกาเข้าสู่สงครามโลก พวก KKK ถูกมองว่าเป็นพวกไม่รักชาติ ไม่ใช่องค์กรเพื่อชนชาวอเมริกันอีกต่อไป ผู้นำแคลนถึงกับล้มละลายในปี 1944 เพราะไม่มีเงินจ่ายภาษีจำนวน 17 ล้านบาท
ปี 1954 ศาลสูงได้ยกเลิกกฎร้อยปีของชาวใต้ที่ว่า คนดำไม่มีสิทธิเรียนโรงเรียนของคนผิวขาวในปี 1957 เกิดภาพประวัติศาสตร์ นักเรียนผิวดำ 3 คน เดินเข้าโรงเรียนลิตเติลร็อก รัฐอาร์คันซอส์ รัฐบาลส่งกำลังทหารหลายพันนายมาอารักขา ขณะที่ฝูงชนผิวขาวและพวก KKK ที่ยังเหลือรอดมองด้วยความเคียดแค้น …ผลคือ เกิดคดีลักพาตัว วางระเบิด เผาโบสถ์และโรงเรียนผิวดำ จนถึงการฆาตกรรมในเวลาต่อมา
ปี 1961 กลุ่ม KKK รุ่นที่ 3 ถือกำเนิด ภายใต้การสนับสนุนประธานแคลนแห่งอเมริกา โรเบิร์ต เซลตัน ซึ่งเป็นนักการเมืองผู้ว่าแห่งรัฐมิสซิปปี้ …ปีต่อมา คือ ปี 1962 เกิดการจลาจลโดยคนผิวขาว รัฐต้องส่งคนไปปราบ พวกแคลนตาย 2 ถูกจับกุมอีก 200 คน
ถัดมาในปี 1963 การฆาตกรรมคนผิวดำกลับมาฮิตอีกครั้ง มีหลายคดีมีการล้มมวยคนดู เพราะคณะลูกขุนผิวขาว ยิ่งทำให้พวกคูแคลนอุอาจย่ามใจไม่กลัวผิด
ปี 1964 ประธานธิปดีจอห์นสันออกพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิพลเรือน มีการจัดกลุ่มคุ้มครองสิทธิพลเรือนโดยอาสาสมัครคนหนุ่มสาวทั่วประเทศ เพื่อชักชวนให้คนอื่นเห็นความเป็นมนุษย์ของคนผิวดำ และปีเดียวกันนั้นเองที่รัฐมิสซิสซิปปี้ เกิดคดีผู้ใช้แรงงาน 3 คนถูก KKK รุมทำร้าย คนผิวขาว 19 คนถูกจับในฐานะผู้ต้องสงสัย หากก็ถูกปล่อยตัวไปเนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอ …3 ปีให้หลัง 18 คนถูกนำตัวขึ้นศาลอีกครั้ง ในจำนวนนี้ 3 คนถูกรุมประชาทัณฑ์ก่อนจะถูกยิงและฝังในเขื่อน อีก 15 คนที่เหลือ 7 คนถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง หากก็ถูกปล่อยตัวหลังจากชำระเงินประกันตัวต่อมาที่เมืองเนโชบา
กลุ่มอาสาสมัคร 3 คน ประกอบด้วย มิกกี้ ชเวอร์เนอร์ อายุ 24 ปี หนุ่มผิวขาวจากนิวยอร์ก, แอนดี้ กู๊ดแมน อายุ 20 หนุ่มผิวขาวจากมหาวิทยาลัยควีนส์และจิม ชาเนย์ เด็กผิวดำ ถูกจับกุมข้อหาขับรถเร็ว และเมื่อปล่อยตัวออกจากคุก ทั้งสามก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย (แต่พบรถในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น) …รัฐบาลกลางเห็นคดีนี้ซ่อนเงื่อนเพราะตำรวจท้องถิ่นไม่ตั้งใจทำคดีนี้ จึงส่ง FBI มาช่วย แต่ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากประชาชนและตำรวจท้องที่มากนัก พวกเขาต้องใช้เวลาถึง 6 สัปดาห์ จนพบร่างเด็กทั้งสามถูกฝังริมเขื่อนลึกลงไปถึง 16 ฟุต ทำให้สมาชิกแคลน 21 คนถูกจับในฐานะผู้ต้องสงสัย นายอำเภอและผู้ช่วยนายอำเภอถูกจับข้อหาร่วมกันฆ่าเด็กทั้งสามประชาชนทั่วประเทศถึงกับตะลึงว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐทำผิดเสียเอง
…แต่นายอำเภอและผู้ช่วยนายอำเภอก็สามารถนั่งฟังการพิจารณาคดีแบบสบายอารมณ์ เพราะคณะลูกขุนเป็นคนผิวขาวทั้งหมด จำเลย 21 คน ได้รับการประกันตัวทันที แม้จำเลยคนหนึ่งจะรับสารภาพ แต่ผู้พิพากษากลับบอกว่า “คำสารภาพเชื่อถือไม่ได้” …แต่รัฐบาลกลางไม่ยอมจบเรื่อง …คดีนี้เลยยืดเยื้อจนถึงปี 1967 ศาลประกาศให้ผู้ต้องหา 8 คนพ้นผิด สามคนถูกปล่อยเพราะลูกขุนทะเลาะกันเอง อีก 7 คนถูกลงโทษ แต่พ้นจากคุกเพราะเงินการประกันตัวคนละ 5,000 เหรียญ23 มีนาคม 1965 นางวิโอลา ลุยโซ สตรีผิวขาวถูกยิงตายในขณะเข้าร่วมกิจกรรมกับคนผิวดำ …ประธานาธิบดีจอห์นสันถึงขั้นประกาศทำสงครามกับพวก KKK จึงส่ง FBI เข้าจัดการและเป็นฝ่ายชนะ
ในปี 1967 สภาผู้แทนสามารถนำตัวผู้นำเข้าคุกได้ในข้อหาพยายามฆ่าและใช้เงินทุนทำกิจกรรมน่าสงสัยในปี 1972 นายจอร์จ วอลเลซ ผุ้ว่าการรัฐอลาบานาถูกลอบสังหารขณะกล่าวปราศรัย คนยิงเป็นคนผิวขาวที่จงชังวอลเลซที่เป็นพันธมิตรต่อต้าน KKK เขาไม่ตายแต่อัมพาตตลอดชีวิต หลังจากนั้น KKK ก็หายสาบสูญไปจากอเมริกา กลายเป็นองค์กรเล็กๆ ที่สังคมรังเกียจ (เฉพาะคนผิวดำ) แต่กระนั้นแม้เป็นองค์กรเล็กๆ แต่ฤทธิ์ไม่ใช่เล่น จนถึงปัจจุบันที่ผ่านมา ยังมีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้นมากมายกับคนผิวดำอยู่บ่อยๆ และตำรวจไม่สามารถจับผู้ทำผิดไม่ได้ …จนบัดนี้กลุ่ม KKK ก็ยังซ่อนตัวอยู่ในสังคมคนผิวขาวและรอเวลาที่จะกลับมาอีกครั้ง

CR.http://lonesomebabe.wordpress.com/2008/12/11/ku-klux-klan-kkk-%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%9C%E0%B8%B4%E0%B8%A7/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น